สารหล่อลื่นในเครื่องจักร คืออะไร? แล้วทำไมจึงสำคัญต่อเครื่องจักร สารหล่อลื่นคือสารที่ใช้ลดแรงเสียดทานระหว่างพื้นผิวที่เคลื่อนไหวสัมผัสกัน โดยทั่วไปแล้วจะเป็นของเหลวหรือกึ่งของเหลวที่มีคุณสมบัติในการหล่อลื่นที่ดีเยี่ยม สารหล่อลื่นทำงานโดยแทรกตัวเข้าไประหว่างพื้นผิวที่เคลื่อนไหว สร้างชั้นฟิล์มบางๆ ที่ช่วยลดการสัมผัสโดยตรงระหว่างพื้นผิวเหล่านั้น
ความสำคัญของ สารหล่อลื่นในเครื่องจักร
สารหล่อลื่นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเครื่องจักรในหลายๆ ด้าน ดังนี้
- ลดแรงเสียดทานและการสึกหรอ: แรงเสียดทานเกิดขึ้นเมื่อพื้นผิวสองพื้นผิวเคลื่อนไหวสัมผัสกัน แรงเสียดทานนี้สามารถสร้างความร้อนและการสึกหรอได้ สารหล่อลื่นช่วยลดแรงเสียดทานโดยสร้างชั้นฟิล์มบางๆ ระหว่างพื้นผิวที่เคลื่อนไหว ซึ่งช่วยลดการสัมผัสโดยตรงและลดการสึกหรอ
- แรงเสียดทานยังก่อให้เกิดความร้อนอีกด้วย ความร้อนนี้สามารถทำลายชิ้นส่วนเครื่องจักรได้หากไม่ได้รับการควบคุม สารหล่อลื่นช่วยระบายความร้อนโดยพาความร้อนออกจากชิ้นส่วนเครื่องจักรที่เคลื่อนไหว
- ป้องกันการกัดกร่อน: ความชื้นและสารเคมีสามารถทำให้เกิดการกัดกร่อนบนชิ้นส่วนเครื่องจักรได้ สารหล่อลื่นบางชนิดมีสารเติมแต่งที่ช่วยป้องกันการกัดกร่อนโดยสร้างชั้นฟิล์มป้องกันบนพื้นผิวโลหะ
- ทำความสะอาดและกำจัดสิ่งปนเปื้อน: สารหล่อลื่นช่วยชะล้างและกำจัดสิ่งปนเปื้อน เช่น ฝุ่นและเศษโลหะ ออกจากชิ้นส่วนเครื่องจักร สิ่งปนเปื้อนเหล่านี้อาจทำให้เกิดการสึกหรอและปัญหาอื่นๆ ได้
คุณสมบัติที่สำคัญของสารหล่อลื่นในเครื่องจักร มีอะไรบ้าง?
- ความหนืด
ความหนืดคือความต้านทานการไหลของสารหล่อลื่น ความหนืดที่เหมาะสมจะช่วยให้สารหล่อลื่นคงอยู่บนพื้นผิวที่เคลื่อนไหวได้ดีและให้การหล่อลื่นที่เพียงพอ ความหนืดที่ต่ำเกินไปอาจทำให้สารหล่อลื่นไหลออกจากพื้นผิวที่เคลื่อนไหวได้ง่ายเกินไป ในขณะที่ความหนืดที่สูงเกินไปอาจทำให้เกิดแรงเสียดทานและความร้อนสูงเกินไป
- ดัชนีความหนืด
ดัชนีความหนืดวัดความไวของความหนืดต่ออุณหภูมิ สารหล่อลื่นที่มีดัชนีความหนืดสูงจะมีความหนืดคงที่ในช่วงอุณหภูมิที่กว้าง ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิผันผวน สารหล่อลื่นที่มีดัชนีความหนืดต่ำจะมีความหนืดที่เปลี่ยนแปลงอย่างมากตามอุณหภูมิ ซึ่งอาจนำไปสู่การหล่อลื่นที่ไม่เพียงพอในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงหรือต่ำ
- จุดวาบไฟ
จุดวาบไฟคืออุณหภูมิต่ำสุดที่สารหล่อลื่นจะระเหยและติดไฟได้ สารหล่อลื่นสำหรับเครื่องจักรอุตสาหกรรมควรมีจุดวาบไฟสูงเพื่อความปลอดภัย จุดวาบไฟที่ต่ำเกินไปอาจทำให้เกิดอันตรายจากไฟไหม้ได้
- ความเสถียรทางความร้อน
สารหล่อลื่นควรมีความเสถียรทางความร้อนสูงเพื่อทนต่อการเสื่อมสภาพที่เกิดจากความร้อนและออกซิเดชัน ความเสถียรทางความร้อนที่ต่ำอาจทำให้สารหล่อลื่นเสื่อมสภาพและสูญเสียคุณสมบัติการหล่อลื่นได้อย่างรวดเร็ว
- ความสามารถในการรับแรงกด
สารหล่อลื่นควรมีความสามารถในการรับแรงกดสูงเพื่อทนต่อแรงกดที่เกิดจากชิ้นส่วนเครื่องจักรที่เคลื่อนไหว ความสามารถในการรับแรงกดที่ต่ำอาจทำให้สารหล่อลื่นถูกบีบออกจากพื้นผิวที่เคลื่อนไหวได้ง่ายเกินไป
- ความเข้ากันได้กับวัสดุ
สารหล่อลื่นควรเข้ากันได้กับวัสดุของชิ้นส่วนเครื่องจักรที่ใช้หล่อลื่นเพื่อป้องกันการกัดกร่อนหรือการเสื่อมสภาพอื่นๆ ความเข้ากันได้ที่ไม่ดีอาจทำให้เกิดการกัดกร่อนหรือการเสื่อมสภาพของชิ้นส่วนเครื่องจักรได้
สารหล่อลื่นของเครื่องจักร มีหลายประเภท โดยแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและการใช้งานที่เหมาะสมแตกต่างกันไป
สารหล่อลื่นชนิดน้ำมัน (Oil Lubricants)
- น้ำมันแร่ (Mineral Oil): สกัดจากปิโตรเลียม มีคุณสมบัติทนความร้อนได้สูง ทนต่อการเกิดออกซิเดชัน เหมาะสำหรับเครื่องจักรที่ทำงานหนักและมีอุณหภูมิสูง
- น้ำมันสังเคราะห์ (Synthetic Oil): ผลิตจากสารเคมีสังเคราะห์ มีคุณสมบัติทนความร้อนได้สูงกว่าน้ำมันแร่ ทนต่อการเกิดออกซิเดชันและการสึกหรอได้ดีกว่า เหมาะสำหรับเครื่องจักรที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง
- น้ำมันกึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic Oil): ผสมผสานระหว่างน้ำมันแร่และน้ำมันสังเคราะห์ มีคุณสมบัติที่ดีกว่าน้ำมันแร่แต่ราคาถูกกว่าน้ำมันสังเคราะห์ เหมาะสำหรับเครื่องจักรทั่วไป
สารหล่อลื่นชนิดจาระบี (Grease Lubricants)
- จาระบีลิเธียม (Lithium Grease): มีความหนืดสูง ทนความร้อนและน้ำได้ดี เหมาะสำหรับเครื่องจักรที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่เปียกชื้นหรือมีฝุ่นละออง
- จาระบีโซเดียม (Sodium Grease): มีความหนืดต่ำกว่าจาระบีลิเธียม ทนความร้อนได้น้อยกว่า แต่มีราคาถูกกว่า เหมาะสำหรับเครื่องจักรที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่แห้งและมีอุณหภูมิไม่สูงมาก
- จาระบีแคลเซียม (Calcium Grease): มีความหนืดสูงมาก ทนความร้อนและน้ำได้ดี แต่มีจุดหยดตัวต่ำ เหมาะสำหรับเครื่องจักรที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีแรงกระแทกหรือการสั่นสะเทือน
สารหล่อลื่นชนิดอื่นๆ
- สารหล่อลื่นแบบแห้ง (Dry Lubricants): ประกอบด้วยผงโลหะหรือเซรามิก มีคุณสมบัติทนความร้อนได้สูงมาก ทนต่อการสึกหรอได้ดี เหมาะสำหรับเครื่องจักรที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่แห้งและมีอุณหภูมิสูง
- สารหล่อลื่นแบบกึ่งของเหลว (Semi-Fluid Lubricants): มีความหนืดระหว่างน้ำมันและจาระบี เหมาะสำหรับเครื่องจักรที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีการสั่นสะเทือนหรือแรงกระแทก
- สารหล่อลื่นแบบพิเศษ (Specialty Lubricants): ผลิตขึ้นเพื่อการใช้งานเฉพาะ เช่น สารหล่อลื่นสำหรับเครื่องจักรอาหาร สารหล่อลื่นสำหรับเครื่องจักรในอุตสาหกรรมการบิน
นอกจากนี้การเลือก สารหล่อลื่นในเครื่องจักร ที่เหมาะสมสำหรับเครื่องจักรนั้นยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยสามารถพิจารณาได้ ดังนี้
เครื่องจักรแต่ละประเภทมีลักษณะการทำงานที่แตกต่างกัน จึงควรเลือกสารหล่อลื่นที่เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น เครื่องจักรที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูง ควรเลือกสารหล่อลื่นที่มีจุดวาบไฟสูง รวมถึงควรพิจารณาสภาพแวดล้อมที่เครื่องจักรทำงาน เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และการสัมผัสกับสารเคมี เพื่อเลือกสารหล่อลื่นที่มีคุณสมบัติทนทานต่อสภาพการทำงานนั้นๆ
อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิในการทำงานของเครื่องจักรมีผลต่อความหนืดของสารหล่อลื่น ควรเลือกสารหล่อลื่นที่มีความหนืดเหมาะสม เพื่อให้สารหล่อลื่นคงสภาพเป็นฟิล์มหล่อลื่นได้ดี และความเร็วในการทำงานของเครื่องจักรก็มีผลต่อแรงเสียดทานกับความร้อนที่เกิดขึ้น ควรพิจารณาเลือกสารหล่อลื่นที่มีความสามารถในการรับแรงกดและทนความร้อนได้ดี เช่น ความเข้ากันได้กับวัสดุชิ้นส่วนเครื่องจักร ความต้านทานต่อการเกิดออกซิเดชันอีกด้วย
การใช้สารหล่อลื่นที่เหมาะสมจะช่วยลดการสึกหรอของเครื่องจักร ยืดอายุการใช้งาน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างมีนัยสำคัญ
สัญญาณเตือนที่บ่งชี้ปัญหา สารหล่อลื่นในเครื่องจักร ก่อนที่เครื่องจักรจะเกิดความเสียหายรุนแรง ได้แก่
- เสียงดังผิดปกติของเครื่องจักร เช่น เสียงขูดขัด กรอบแกรบ
- อุณหภูมิของเครื่องจักรสูงขึ้นอย่างผิดปกติ
- สังเกตเห็นคราบน้ํามัน หรือรอยรั่วไหลของสารหล่อลื่น
- สมรรถนะหรือประสิทธิภาพในการทํางานของเครื่องจักรลดลง
- การสั่นสะเทือนของเครื่องจักรมากขึ้น
- มอเตอร์หรือชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวอื่นๆ มีอุณหภูมิสูงขึ้นผิดปกติ
ดังนั้นจึงควรตรวจสอบและแก้ไขทันทีเมื่อพบสัญญาณเหล่านี้ เพื่อป้องกันความเสียหายรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นกับเครื่องจักรได้
โดยมี 5 ข้อผิดพลาดเกี่ยวกับ สารหล่อลื่นในเครื่องจักร ที่ควรระวัง เช่น
- การใช้สารหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสม เพราะสารหล่อลื่นแต่ละประเภทมีจุดประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกัน หากใช้สารหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสมกับเครื่องจักร อาจทำให้เกิดการสึกหรอหรือการทำงานผิดปกติได้
- การใช้สารหล่อลื่นมากเกินไป การใช้สารหล่อลื่นมากเกินไปอาจทำให้เกิดการรั่วไหลหรือการสะสมตัวของสารหล่อลื่น
- การใช้สารหล่อลื่นน้อยเกินไป การใช้สารหล่อลื่นน้อยเกินไปอาจทำให้เกิดการสึกหรอหรือการทำงานผิดปกติได้
- การใช้สารหล่อลื่นที่ปนเปื้อน สารหล่อลื่นที่ปนเปื้อนด้วยสิ่งสกปรกหรือเศษโลหะอาจทำให้เกิดการสึกหรอหรือการทำงานผิดปกติได้
- การละเลยการบำรุง อาจความเสียหายต่อเครื่องจักรได้อย่างร้ายแรง การกำหนดตารางการหล่อลื่นและการบำรุงรักษาที่เหมาะสมสามารถป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้ เพราะการตรวจสอบและเปลี่ยนชิ้นส่วนตามระยะเวลาที่กำหนด และการตรวจสอบสภาพเครื่องจักรอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าเครื่องจักรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปราศจากปัญหา
ระบบซ่อมบำรุงออนไลน์ FACTORIUM CMMS มีฟังก์ชันการทำงานที่ช่วยให้วางแผนการเปลี่ยนถ่ายสารหล่อลื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบจะส่งการแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดการเปลี่ยนถ่ายสารหล่อลื่น ช่วยให้มีเวลาเตรียมตัวและจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม โดยระบบจะบันทึกประวัติการเปลี่ยนถ่ายสารหล่อลื่นทั้งหมด ที่จะช่วยให้สามารถติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลการบำรุงรักษาได้อย่างง่ายดาย
โดยระบบซ่อมบำรุงออนไลน์จาก FACTORIUM CMMS ยังเป็นระบบทที่ช่วยจัดการและวางแผนการซ่อมบำรุงอุปกรณ์และเครื่องจักรแบบออนไลน์ ที่ช่วยให้การดูแลรักษาเครื่องจักรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้:
- ช่วยให้สามารถวางแผนการซ่อมบำรุงได้อย่างมีระบบ ทำให้สามารถป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้าได้
- ช่วยให้ติดตามสถานะและประวัติการซ่อมบำรุงของเครื่องจักรได้ง่าย
- ช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงาน เนื่องจากสามารถวางแผนการซ่อมบำรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักร และลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อน
แค่เปิดใจ ก็เปลี่ยนทุกอย่างได้ เพราะ FACTORIUM CMMS คือระบบซ่อมบำรุงออนไลน์ที่ช่วยให้สามารถวางแผนการซ่อมบำรุงมอเตอร์เครื่องจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงรักษา ลดต้นทุน เพิ่มความน่าเชื่อถือและความพร้อมใช้งานของเครื่องจักร
โรงงานอุตสาหกรรมควรทำ PM เครื่องจักรบ่อยแค่ไหน?
การบำรุงรักษาเครื่องจักรอย่างสม่ำเสมอ เป็นสิ่งที่ธุรกิจจำเป็นต้องให้ความสำคัญ เพราะจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักร และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยควรดำเนินการทุก 3-6 เดือน
เพื่อให้เครื่องจักรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงในระยะยาว เพราะการตรวจเช็คและซ่อมบำรุงเครื่องจักรอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เครื่องจักรสามารถใช้งานได้นานขึ้น ลดความเสี่ยงของการเสื่อมสภาพก่อนวาระ และช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องจักรได้อย่างคุ้มค่า ลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาขัดข้อง และช่วยให้ผลผลิตมีคุณภาพสม่ำเสมอ
การได้เป็นหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ลูกค้าของเราสามารถวางแผนและทำงานด้าน Preventive Maintenance ได้ง่ายขึ้น ดีขึ้น 100% เครื่องจักรทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ลด Downtime ของเครื่องจักร ช่วยให้ทีมซ่อมบำรุงทำงานได้ง่าย Happy มากขึ้น กดเพื่อทดลองใช้งานฟรี! 3 เดือนได้เลยค่ะ
Website: https://factorium.tech/
Facebook: https://www.facebook.com/factorium.tech
Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCAHWs01GOZJ2_8gehIsdGpw